
Stablecoin Shadow Banking ธนาคารเงาในโลกคริปโท
- เฮียเกา
- 14 views
Stablecoin Shadow Banking การเกิดขึ้นของ Stablecoin หรือเหรียญคริปโทที่ผูกมูลค่ากับเงินตราจริง เช่น ดอลลาร์สหรัฐ กำลังเปลี่ยนทิศทางของโลกการเงินอย่างลึกซึ้ง ด้วยคุณสมบัติที่ราคาคงที่กว่าคริปโททั่วไป จึงกลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างระบบการเงินดิจิทัลกับเศรษฐกิจจริง เปิดทางให้เกิดการกู้ยืมโดยไม่ผ่านธนาคาร
ปรากฏการณ์นี้ได้ก่อให้เกิดสิ่งที่นักวิเคราะห์เรียกว่า Shadow Banking หรือ “ธนาคารเงา” ในโลกคริปโท ซึ่งหมายถึงการให้บริการทางการเงินที่ทำหน้าที่คล้ายธนาคาร แต่ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎระเบียบของธนาคารกลางหรือหน่วยงานกำกับดูแล ผลลัพธ์คือผู้เล่นสามารถกู้หรือปล่อยกู้ สกุลเงินดิจิทัลเสถียร ได้รวดเร็วและยืดหยุ่น
ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดคือ หากเกิดปัญหาสภาพคล่อง หรือมีการถอนเงินจำนวนมากในเวลาเดียวกัน ธนาคารเงาในโลกคริปโทอาจล้มพังได้ทันที และสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจจริง คล้ายกับวิกฤตการเงินโลกปี 2008 การเติบโตของธนาคารเงา จึงถูกจับตามองว่าอาจเป็นระเบิดเวลาลูกใหม่ของเศรษฐกิจดิจิทัล
ทำไม Stablecoin จึงกลายเป็นหัวใจของธนาคารเงา
ความนิยมของสกุลเงินดิจิทัลเสถียรเกิดจากการที่มันแก้จุดอ่อนสำคัญของคริปโททั่วไป นั่นคือความผันผวนของราคา การตรึงมูลค่ากับเงินดอลลาร์หรือสกุลเงินหลักทำให้ Stablecoin เหมาะกับการใช้เป็นสื่อกลางการชำระเงินและการกู้ยืม ผู้ใช้สามารถโอนเงินข้ามพรมแดนได้รวดเร็วโดยไม่ต้องกังวลว่ามูลค่าจะลดลงกะทันหัน
แพลตฟอร์มการเงินดิจิทัลหลายแห่งจึงนำเหรียญคริปโทผูกมูลค่ามาเป็นหลักประกันเพื่อปล่อยกู้ต่อ ทำให้เกิด วงจรการกู้และปล่อยกู้ซ้อนกัน คล้ายระบบธนาคารดั้งเดิมที่สร้างผลตอบแทนจากดอกเบี้ย ส่งผลให้สภาพคล่องของระบบขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของผู้ใช้เพียงอย่างเดียว
เมื่อมีการนำเหรียญสเตเบิลไปใช้ในตลาดอนุพันธ์และการเก็งกำไรขั้นสูง ความเสี่ยงยิ่งทวีคูณ เพราะมูลค่าที่คงที่ของเหรียญไม่ได้หมายความว่าความปลอดภัยจะคงที่ หากเกิดเหตุการณ์ถอนเงินจำนวนมาก (bank run) หรือความล้มเหลวของผู้ออกเหรียญ ก็อาจทำให้ระบบล้มได้รวดเร็วเหมือนกรณี TerraUSD ในปี 2022
ความเสี่ยง จากการค้ำประกันที่ไม่โปร่งใส
แม้หลายแพลตฟอร์มเหรียญสเตเบิล จะประกาศว่ามีสินทรัพย์สำรองค้ำประกันเต็มจำนวน แต่ความโปร่งใสในการตรวจสอบยังเป็นคำถามใหญ่ บางเหรียญมีเพียงเอกสารรับรองจากบริษัทเอกชน ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐ ทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถมั่นใจได้ว่ามีเงินค้ำจริงตามที่ประกาศ (26 มิถุนายน 2025) [1]
การขาดการตรวจสอบนี้เปิดช่องให้เกิด การสร้างเหรียญเกินทุนสำรอง (over-issuance) ซึ่งทำให้ตลาดเงินคริปโทคงมูลค่าอาจเผชิญวิกฤตคล้ายกับวิกฤตสถาบันการเงินเงาในอดีต หากมีข่าวลือเรื่องทุนสำรองไม่พอ ความตื่นตระหนกจะทำให้ผู้ถือเหรียญแห่ถอนเงินพร้อมกัน นำไปสู่การล่มของระบบในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
นอกจากนี้ การที่เหรียญตรึงดอลลาร์บางประเภทผูกกับสินทรัพย์เสี่ยง เช่น พันธบัตรเอกชนหรือสินเชื่อที่ไม่มีคุณภาพ ยิ่งทำให้ความมั่นคงของระบบลดลง หากตลาดสินทรัพย์เหล่านี้ผันผวน ความเสี่ยงจะถูกส่งต่อไปยังผู้ถือ Stablecoin โดยตรงโดยไม่มีมาตรการป้องกัน
การเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจริง ระเบิดเวลาที่ซ่อนอยู่
แม้เหรียญคริปโทผูกมูลค่าจะเกิดขึ้นในโลกดิจิทัล แต่ผลกระทบของมันเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจริงอย่างชัดเจน เมื่อสกุลเงินดิจิทัลเสถียรถูกใช้เป็นสื่อกลางชำระเงินหรือหลักประกันในธุรกิจจริง การล่มของแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อภาคการค้าระหว่างประเทศ การลงทุน และระบบธนาคาร
หากเกิดวิกฤตคล้าย “bank run” ในตลาดเหรียญตรึงดอลลาร์ความเสียหายจะไม่จำกัดอยู่แค่ผู้ลงทุนคริปโท แต่จะกระทบต่อธุรกิจที่รับ เหรียญสเตเบิล เป็นการชำระเงินและกองทุนที่ถือครองเหรียญเหล่านี้ในสัดส่วนสูง ทำให้การล่มเพียงครั้งเดียวอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตการเงินที่ลุกลามไปทั้งโลก
การเชื่อมโยงนี้ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลการเงินหลายประเทศ รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐและยุโรป เริ่มจับตาเงินคริปโทคงมูลค่าอย่างใกล้ชิด และผลักดันให้มีมาตรฐานสากลสำหรับการตรวจสอบทุนสำรองและการเปิดเผยข้อมูล เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยวิกฤตการเงินในอดีต
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก กับระบบการเงินดั้งเดิม
การเติบโตของสถาบันการเงินเงาในคริปโท กำลังสั่นคลอนโครงสร้างการเงินโลกอย่างลึกซึ้ง เพราะการกู้ยืมและปล่อยกู้จำนวนมหาศาลเกิดขึ้นนอกการกำกับของธนาคารกลาง การไหลเวียนของเงินที่ไม่ถูกนับรวมในระบบสถิติทางเศรษฐกิจ ทำให้การประเมินสภาพคล่องและการกำหนดนโยบายการเงิน
ผลกระทบยังขยายไปถึงตลาดทุนและธุรกิจจริง หลายบริษัทเริ่มใช้เหรียญสเตเบิล เป็นเครื่องมือจัดการสภาพคล่อง หากเกิดการล่มของแพลตฟอร์มเงินคริปโทคงมูลค่า หรือการถอนเงินพร้อมกัน อาจทำให้เกิด ฟองสบู่สินทรัพย์ดิจิทัลแตก ซึ่งจะกดดันราคาหุ้น พันธบัตร และตลาดเงินทั่วโลก (31 สิงหาคม 2025) [2]
ในมุมของสถาบันการเงินดั้งเดิม การแข่งขันกับบริการกู้ยืมที่ต้นทุนต่ำและทำงานตลอด 24 ชั่วโมงของ ระบบการเงินเงาดิจิทัล เป็นความท้าทายใหญ่ ธนาคารพาณิชย์อาจสูญเสียลูกค้าและเงินฝากไปจำนวนมาก หากไม่มีมาตรการปรับตัวและสร้างผลิตภัณฑ์ดิจิทัลใหม่เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้ยุคใหม่
ช่องโหว่ กฎหมายและการกำกับดูแล
แม้หลายประเทศเริ่มพัฒนากฎเกณฑ์สำหรับคริปโท แต่ การกู้ยืมไร้การกำกับในคริปโท เติบโตเร็วกว่าที่กฎหมายจะตามทัน ธุรกรรมสามารถเกิดขึ้นแบบข้ามพรมแดนในไม่กี่วินาที ทำให้ยากต่อการระบุเขตอำนาจศาลหรือการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ ทั้งนี้ยังมีแพลตฟอร์มจำนวนมากที่ตั้งอยู่ในประเทศที่ไม่เข้มงวด
ความแตกต่างของกฎหมายในแต่ละประเทศก็เป็นอีกอุปสรรค บางประเทศสนับสนุนการใช้ สกุลเงินดิจิทัลเสถียร เพื่อดึงดูดนักลงทุน ในขณะที่บางประเทศสั่งห้ามหรือกำหนดข้อจำกัดอย่างเข้มงวด ความไม่สอดคล้องนี้ทำให้เกิด ช่องโหว่ด้านกฎระเบียบ ที่ผู้เล่นในตลาดสามารถใช้เพื่อเคลื่อนย้ายเงินโดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อความเสี่ยง
แม้จะมีแนวทางจากองค์กรอย่าง Financial Stability Board (FSB) และ FATF ในการสร้างมาตรฐานสากลเพื่อควบคุมเหรียญตรึงดอลลาร์ แต่การติดตามธุรกรรมบนบล็อกเชนที่ซับซ้อนและการเปลี่ยนแปลงทางเทคนิคอย่างรวดเร็ว ยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ ทำให้กฎเกณฑ์ปัจจุบันตามไม่ทันพฤติกรรมในตลาด (28 ตุลาคม 2021) [3]
ตลาด Stablecoin โตทะลุ 2 ล้านล้านดอลลาร์
ข้อมูลล่าสุดจากสถาบันวิจัยการเงินดิจิทัลระบุว่า มูลค่าตลาด สกุลเงินดิจิทัลเสถียร ทั่วโลกเพิ่มขึ้นเกิน 2 ล้านล้านดอลลาร์ในต้นปี 2026 เพิ่มจากปีก่อนหน้ากว่า 65% การเติบโตนี้ถูกผลักดันจากการใช้ เหรียญคริปโทผูกมูลค่า ในการกู้ยืมและปล่อยกู้บนแพลตฟอร์ม DeFi และบริการชำระเงินข้ามพรมแดนที่ไม่ผ่านธนาคาร
รายงานยังเตือนว่ามากกว่า 40% ของธุรกรรม เงินคริปโทคงมูลค่า มีความเสี่ยงสูงต่อการฟอกเงินและการเคลื่อนย้ายเงินผิดกฎหมาย โดยเฉพาะธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับ cross-chain bridge และ DeFi lending protocol ความซับซ้อนของเครือข่ายเหล่านี้ยิ่งทำให้การติดตามเงินผิดกฎหมายเป็นเรื่องท้าทาย
นักวิเคราะห์ชี้ว่า หากไม่มีมาตรการกำกับดูแลและการตรวจสอบทุนสำรองที่ชัดเจน ความเสี่ยงจากการล่มของ เหรียญสเตเบิล รายใหญ่ อาจกลายเป็น วิกฤตการเงินโลก ได้ภายในเวลาไม่กี่วัน เหมือนเหตุการณ์ล่มของ TerraUSD แต่ในระดับที่ใหญ่กว่าหลายเท่า (17 กรกฎาคม 2025) [4]
สรุป Stablecoin-Shadow-Banking ระเบิดเวลาการเงินยุคคริปโท
การเติบโตของ ตลาดการเงินเงาเหรียญสเตเบิล แสดงให้เห็นว่าระบบการเงินดิจิทัลกำลังเคลื่อนตัวเร็วกว่ากฎหมายและการกำกับดูแล การปล่อยกู้และการกู้ยืมที่เกิดขึ้นนอกธนาคารกลางสร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง
หากเกิดการล่มของ เงินคริปโทคงมูลค่า รายใหญ่หรือเกิด “bank run” อาจทำให้ตลาดเงินดิจิทัลและเศรษฐกิจจริงสั่นสะเทือนได้ในเวลาอันสั้น
เร่งสร้างกติกาสากล ตรวจสอบทุนสำรอง
การสร้างมาตรฐานสากลเพื่อควบคุมเหรียญสเตเบิล เช่น การบังคับตรวจสอบทุนสำรอง การกำหนดข้อจำกัดในการปล่อยกู้ และการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานกำกับดูแล เป็นกุญแจสำคัญเพื่อลดความเสี่ยงจากฟองสบู่และการฟอกเงิน
“การร่วมมือระหว่างประเทศ จะทำให้สามารถติดตามธุรกรรมข้ามพรมแดนได้มีประสิทธิภาพ และลดช่องโหว่ด้านกฎหมาย”
สร้างความรู้ ภูมิคุ้มกัน แก่ผู้ใช้และนักลงทุน
ควบคู่ไปกับการกำกับดูแล ควรเร่งสร้างความรู้ทางการเงินดิจิทัลแก่ผู้ใช้และนักลงทุน ให้เข้าใจความเสี่ยงของ เหรียญตรึงดอลลาร์ และการปล่อยกู้ในระบบเงา ตั้งแต่การเลือกแพลตฟอร์มที่โปร่งใส
การประเมินความเสี่ยงด้านทุนสำรอง ไปจนถึงการปฏิบัติตามกฎหมายการเงิน การรู้เท่าทันจะช่วยลดโอกาสตกเป็นเหยื่อและลดแรงกระเพื่อมต่อเศรษฐกิจในภาพรวม

แสดงความคิดเห็น ยกเลิกการตอบกลับ


ตอนนี้เหรียญดิจิตอลมีเยอะมาก ถ้าเอาปลอดภัย ก็พวก bitcoin, ETH, BNB สบายใจสุดที่คนยอมรับกัน