AI ปล่อยกู้ อนาคตที่ไร้การควบคุม

AI ปล่อยกู้

ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ปล่อยกู้ กำลังเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมการเงินอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะด้านการปล่อยกู้ที่ใช้ระบบอัตโนมัติมากขึ้น ตั้งแต่การตรวจสอบเครดิต การคำนวณอัตราดอกเบี้ย ไปจนถึงการอนุมัติวงเงิน ทุกขั้นตอนสามารถทำได้ในไม่กี่นาที โดยไม่ต้องอาศัยพนักงานธนาคาร

ความสะดวกและความเร็วนี้ดึงดูดทั้งผู้กู้และผู้ให้กู้ แต่ก็แฝงความเสี่ยงที่ยังขาดการกำกับดูแล AI ปล่อยกู้ช่วยให้ผู้กู้เข้าถึงเงินได้ง่ายขึ้น แม้จะไม่มีเอกสารหรือประวัติทางการเงินที่ดี ระบบอัลกอริทึมจะใช้ข้อมูลดิจิทัลหลากหลาย มาประเมินความน่าเชื่อถือ การใช้ข้อมูลแบบนี้เปิดโอกาสให้คนที่เคยถูกปฏิเสธสินเชื่อสามารถกู้เงินได้

สิ่งที่น่ากังวลคือความเร็วและขอบเขตของการอนุมัติเงินกู้โดย AI อาจเกินกว่าที่ผู้กำกับดูแลจะตามทัน ขณะเดียวกันเจ้าหนี้ก็อาจใช้ AI เพื่อปล่อยกู้จำนวนมากโดยไม่มีหลักประกันที่เหมาะสม ปรากฏการณ์นี้เสี่ยงต่อการสร้าง ฟองสบู่หนี้ดิจิทัล และก่อให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจในวงกว้างได้อย่างไม่คาดคิด

ทำไม AI ปล่อยกู้ถึงเติบโตอย่างรวดเร็ว

เอไอปล่อยกู้ เติบโตได้รวดเร็วเพราะตอบโจทย์ยุคดิจิทัลที่ต้องการความเร็วและความสะดวก ผู้กู้สามารถยื่นขอสินเชื่อและได้รับการอนุมัติภายในไม่กี่นาที ผ่านแอปหรือเว็บไซต์ที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง การใช้โมเดลข้อมูลมหาศาลช่วยให้ AI ประเมินความเสี่ยงได้ทันที ลดขั้นตอนที่เคยเป็นอุปสรรคในระบบธนาคารแบบดั้งเดิม

แรงผลักดันอีกประการ คือความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ระบบการเงินเดิมมักมองข้าม คนที่ไม่มีประวัติสินเชื่อ AI สามารถดึงข้อมูลทางเลือก เช่น พฤติกรรมการใช้จ่ายออนไลน์ หรือการชำระบิลสาธารณูปโภค มาใช้เป็นตัวชี้วัดเครดิต ทำให้ผู้ที่ไม่เคยกู้เงินกับธนาคารก็สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ (24 กรกฎาคม 2025) [1]

ขณะเดียวกัน นักลงทุนและผู้ให้กู้ก็มองว่า AI ลดต้นทุนการดำเนินงานได้มาก ไม่ต้องใช้บุคลากรจำนวนมากในการตรวจสอบเอกสารหรือโทรติดตามลูกหนี้ การปล่อยกู้ในระดับอัตโนมัติยังทำให้หมุนเงินได้เร็วขึ้นและขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้นในเวลาอันสั้น ปัจจัยเหล่านี้รวมกันทำให้กลายเป็นธุรกิจที่เติบโตเร็วและผลตอบแทนสูง

ความเสี่ยง จากอัลกอริทึมลำเอียง

แม้จะเต็มไปด้วยข้อดี แต่เอไอปล่อยกู้ ก็เผชิญปัญหาสำคัญคือความลำเอียงของอัลกอริทึม (algorithmic bias) หากข้อมูลที่ใช้สอน AI มีอคติ อย่างเช่น แบ่งแยกเชิงพื้นที่ อาชีพ หรือเพศ ผลลัพธ์การอนุมัติก็จะมีแนวโน้มเลือกปฏิบัติ ตัวอย่างเช่น การปฏิเสธสินเชื่อกับผู้ที่อาศัยในย่านที่ถูกจัดว่า “เสี่ยงสูง” แม้จะมีความสามารถชำระหนี้จริง

อัลกอริทึมลำเอียงยังยากต่อการตรวจสอบ เพราะกระบวนการตัดสินใจของ AI มักเป็น “กล่องดำ” (black box) ทำให้ผู้กู้ไม่สามารถรู้ได้ว่าเหตุใดจึงถูกปฏิเสธ หรือได้ดอกเบี้ยสูงกว่าคนอื่น การขาดความโปร่งใสนี้ขัดต่อหลักการคุ้มครองผู้บริโภค และสร้างความเหลื่อมล้ำในระบบสินเชื่ออย่างเงียบๆ

ในบางกรณี ผู้พัฒนาอัลกอริทึมอาจปรับค่าตัวแบบเพื่อเพิ่มผลกำไร ตัวอย่างเช่น ตั้งเงื่อนไขให้ผู้กู้ได้วงเงินสูงเกินความจำเป็น เพื่อสร้างดอกเบี้ยเพิ่มโดยไม่สนใจความสามารถในการชำระหนี้ พฤติกรรมเช่นนี้ไม่เพียงทำให้ผู้กู้เสี่ยงจมอยู่ในหนี้ แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นในระบบการเงินดิจิทัลโดยรวม (11 มิถุนายน 2025) [2]

ความเร็วที่เกินควบคุม จุดกำเนิดฟองสบู่หนี้

อีกความเสี่ยงใหญ่คือ ความเร็วของการอนุมัติ ที่เกินกว่าการกำกับดูแลจะตามทัน AI สามารถปล่อยกู้ให้ผู้กู้จำนวนมากพร้อมกันในเวลาสั้นๆ หากไม่มีการจำกัดวงเงินหรือกลไกตรวจสอบซ้ำ ผู้กู้บางคนอาจกู้จากหลายแพลตฟอร์มพร้อมกันโดยที่ไม่มีใครรู้ ทำให้เกิดหนี้ทับซ้อนและเสี่ยงผิดนัดชำระ

เมื่อหนี้ระยะสั้นเหล่านี้ถูกปล่อยออกจำนวนมากโดยไม่มีหลักประกันเพียงพอ หากเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหรือดอกเบี้ยปรับขึ้นกะทันหัน ก็มีโอกาสเกิด ฟองสบู่หนี้ดิจิทัล ที่ลุกลามไปยังสถาบันการเงินอื่นๆ ได้รวดเร็ว ผลกระทบอาจคล้ายวิกฤตซับไพรม์ในอดีต แต่ขยายตัวเร็วกว่าหลายเท่าเพราะทุกอย่างเป็น ระบบออนไลน์

นอกจากนี้ ความเร็วของระบบยังเปิดช่องให้ผู้ไม่หวังดีใช้ AI เพื่อปล่อยกู้เถื่อน ตัวอย่าง การสร้างแพลตฟอร์มปลอมที่อนุมัติวงเงินเกินจริงหรือหลอกเก็บค่าธรรมเนียมล่วงหน้า ปัญหาเหล่านี้ยิ่งยากตรวจสอบเมื่อการทำธุรกรรมเกิดขึ้นแบบอัตโนมัติและข้ามพรมแดน ทำให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นเรื่องท้าทาย (14 พฤศจิกายน 2024) [3]

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและผู้กู้ เมื่อ AI ปล่อยกู้กลายเป็นดาบสองคม

AI ปล่อยกู้

การขยายตัวของ AI-ปล่อยกู้ ทำให้เงินก้อนใหญ่ไหลเวียนในระบบการเงินดิจิทัลโดยไม่ผ่านกระบวนการควบคุมแบบดั้งเดิม ส่งผลให้การติดตามสภาพคล่องและการควบคุมอัตราดอกเบี้ยของรัฐยากขึ้น เศรษฐกิจจึงเสี่ยงต่อความผันผวนแบบกะทันหัน (25 มิถุนายน 2025) [4]

สำหรับผู้กู้ ความสะดวกที่มาพร้อมกับการปล่อยกู้โดย AI อาจกลายเป็นกับดักหนี้ที่มองไม่เห็น การประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของ AI ที่ใช้ข้อมูลพฤติกรรมเป็นหลัก อาจไม่ได้สะท้อนสถานะการเงินจริงของผู้กู้ หากผู้กู้กู้จากหลายแพลตฟอร์มพร้อมกัน ส่งผลให้ต้องแบกรับดอกเบี้ยสูงและค่าปรับทบต้นอย่างรวดเร็ว

ยิ่งไปกว่านั้น การทำงานแบบอัตโนมัติและไร้คนกลางยังทำให้การขอคำปรึกษาหรือการต่อรองเงื่อนไขเป็นไปได้ยาก ผู้กู้ที่ประสบปัญหาไม่สามารถติดต่อพนักงานเพื่อเจรจาได้โดยตรง ต่างจากการกู้ในธนาคารแบบเดิม ความรู้สึก ไม่มีใครรับฟัง ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจและคุณภาพชีวิต และอาจกลายเป็นปัญหาสังคมในระยะยาว

ช่องโหว่กฎหมาย กับการกำกับดูแล

แม้หลายประเทศเริ่มร่างกฎหมายควบคุมฟินเทค แต่ AI-ปล่อยกู้ ก้าวเร็วกว่ากรอบกฎหมายที่มีอยู่มาก หลายแพลตฟอร์มจดทะเบียนในต่างประเทศหรือใช้ระบบ บล็อกเชนไร้ศูนย์กลาง ทำให้ยากต่อการตรวจสอบเส้นทางเงินและการกำหนดเขตอำนาจศาล ผลลัพธ์คือการบังคับใช้กฎหมายล่าช้าและไม่ครอบคลุมแพลตฟอร์ม

ความท้าทายอีกประการคือการพิสูจน์ความรับผิดชอบ หาก AI อนุมัติสินเชื่อผิดพลาดหรือประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป ใครจะเป็นผู้รับผิด? นักพัฒนาอัลกอริทึมหรือเจ้าของแพลตฟอร์ม? ช่องว่างนี้เปิดโอกาสให้ผู้ให้กู้ใช้ AI เป็นเกราะป้องกันความรับผิดชอบ และเพิ่มความซับซ้อนให้กับกระบวนการทางกฎหมาย

แม้จะมีแนวคิดให้แพลตฟอร์มต้องเปิดเผยวิธีการทำงานของอัลกอริทึมเพื่อเพิ่มความโปร่งใส แต่การตรวจสอบ AI ที่ซับซ้อนและเรียนรู้ตลอดเวลายังคงเป็นเรื่องยาก ส่งผลให้การควบคุม AI ปล่อยกู้ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศและมาตรการเทคโนโลยีขั้นสูงควบคู่กัน (3 เมษายน 2025) [5]

รายงานล่าสุด ตลาด AI ปล่อยกู้โตทะลุ 70% ในปีเดียว

รายงานจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศเผยว่า ตลาด AI ปล่อยกู้เติบโตเกิน 70% ในปี 2025 โดยมีมูลค่าการปล่อยกู้รวมระดับหลายล้านล้านดอลลาร์ จุดเด่นคือการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่และการวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ เพื่ออนุมัติสินเชื่อในเวลาไม่กี่นาที ปรากฏการณ์นี้สะท้อนถึงความต้องการสินเชื่อด่วนและแรงผลักดันของนักลงทุน

อย่างไรก็ตาม รายงานเดียวกันเตือนว่า ความเร็วและขอบเขตการปล่อยกู้ของ AI อาจสร้าง วิกฤตฟองสบู่หนี้ดิจิทัล หากไม่มีการควบคุมที่เข้มงวด โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจโลกเผชิญความผันผวน เช่น ภาวะเงินเฟ้อหรือราคาสินทรัพย์ดิจิทัลตกลงกะทันหัน ความเสี่ยงนี้อาจกระจายไปสู่ธนาคารและตลาดการเงินแบบดั้งเดิม

นักวิชาการจึงแนะให้เร่งสร้างมาตรฐานสากลสำหรับการใช้ AI ในการปล่อยกู้ ทั้งด้านความโปร่งใส การประเมินความเสี่ยง และการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อป้องกันไม่ให้เทคโนโลยีที่ตั้งใจพัฒนาเพื่อเพิ่มโอกาสทางการเงิน กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหม่

สรุป AI ปล่อยกู้ ความสะดวกที่อาจย้อนกลับเป็นวิกฤต

การเติบโตอย่างรวดเร็วของ AI-ปล่อยกู้ คือทั้งโอกาสและความท้าทายต่อโลกการเงินยุคใหม่ ระบบอัตโนมัติช่วยให้ผู้คนเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายและเร็วขึ้น

แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความเสี่ยงใหม่ ตัวอย่างเช่น การเกิดฟองสบู่หนี้ดิจิทัล การลำเอียงของอัลกอริทึม และการกำกับดูแลที่ไม่ทันต่อเทคโนโลยี หากไม่มีมาตรการป้องกันที่เข้มแข็ง “AI ปล่อยกู้อาจกลายเป็นชนวนสำคัญของวิกฤตเศรษฐกิจในอนาคต”

พัฒนากติกาสากล ความโปร่งใส

การสร้างมาตรฐานสากลในการใช้ AI เพื่อปล่อยกู้เป็นสิ่งจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยวิธีทำงานของอัลกอริทึม การตรวจสอบข้อมูลที่ใช้ประเมินเครดิต หรือการกำหนดขีดจำกัดวงเงินปล่อยกู้ ทั้งหมดนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากการกู้เกินตัวและเพิ่มความมั่นใจให้ผู้กู้และนักลงทุน

เสริมภูมิคุ้มกันผู้กู้ ด้วยความรู้ดิจิทัล

ควบคู่ไปกับกติกา ควรเร่งสร้างความรู้ทางการเงินดิจิทัลให้ผู้คนตระหนักถึงความเสี่ยงของเอไอปล่อยกู้ ทั้งเรื่องดอกเบี้ยทบต้น การกู้ซ้ำซ้อน และการเก็บข้อมูลส่วนบุคคล การรู้เท่าทันเทคโนโลยีจะช่วยให้ผู้กู้ตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ และลดโอกาสตกเป็นเหยื่อในโลกการเงินอัตโนมัติที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง

แสดงความคิดเห็น