เศรษฐกิจฟองสบู่คริปโท เมื่อการเก็งกำไรกลายเป็นวัฒนธรรม

เศรษฐกิจฟองสบู่คริปโท

เศรษฐกิจฟองสบู่คริปโท โลกคริปโทเคอร์เรนซีเริ่มต้นจากการเป็นนวัตกรรมทางการเงินที่มีเป้าหมาย ในการสร้างระบบการเงินแบบไร้ตัวกลาง แต่ไม่นานนักมันก็ถูกเปลี่ยนทิศทางไปสู่ สนามเก็งกำไร ที่ดึงดูดผู้คนทั่วโลกเข้ามาร่วมลงทุนโดยหวังผลตอบแทนที่รวดเร็วและมหาศาล

สิ่งที่ทำให้ฟองสบู่คริปโทแตกต่างจากฟองสบู่การเงินในอดีตคือ ความเร็วของการเปลี่ยนแปลง มูลค่าเหรียญสามารถพุ่งขึ้นหรือตกลงได้หลายสิบเปอร์เซ็นต์ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ความผันผวนนี้เกิดจากการขาดพื้นฐานมูลค่าที่แท้จริง และการขับเคลื่อนโดยอารมณ์และกระแสสังคมเป็นหลัก ทำให้นักลงทุนจำนวนมากเข้าสู่ตลาด

ปรากฏการณ์ดังกล่าวได้แทรกซึมสู่ วัฒนธรรมการเงินยุคใหม่ โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่ที่ใช้โซเชียลมีเดียเป็นแรงผลักดันหลัก การลงทุนในคริปโทจึงไม่ใช่เพียงการซื้อขายสินทรัพย์ ความคิดแบบนี้เองที่ทำให้ฟองสบู่คริปโทเติบโตเร็ว และอาจแตกอย่างรุนแรงในเวลาใกล้เคียงกัน

กลไกของการสร้าง เศรษฐกิจฟองสบู่คริปโท

ฟองสบู่คริปโทถือกำเนิดขึ้นจาก การเก็งกำไรที่ไม่มีพื้นฐานรองรับ นักลงทุนจำนวนมากเข้ามาซื้อเหรียญเพียงเพราะเห็นราคาพุ่งสูง โดยไม่สนใจว่าโครงการนั้นมีการใช้งานจริงหรือไม่ เมื่อความต้องการเทียมเพิ่มขึ้น ราคาก็ยิ่งพุ่งต่อ ทำให้เกิดวงจร “ซื้อเพราะราคาขึ้น และราคาขึ้นเพราะมีคนซื้อ” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างฟองสบู่

อีกปัจจัยคือ อิทธิพลของสื่อสังคมออนไลน์และบุคคลมีชื่อเสียง ไม่ว่าจะเป็นการทวีตเพียงไม่กี่คำของผู้ทรงอิทธิพล ก็สามารถสร้างแรงซื้อจำนวนมหาศาลได้ในชั่วข้ามคืน การปั่นกระแสลักษณะนี้ไม่เพียงทำให้ราคาผันผวน แต่ยังผลักดันให้นักลงทุนรายย่อยหลั่งไหลเข้ามาอย่างไร้การวิเคราะห์

ยิ่งไปกว่านั้น ความง่ายในการเข้าถึง แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโททั่วโลก ทำให้คนทั่วไปสามารถลงทุนได้เพียงไม่กี่คลิก ความสะดวกนี้ เมื่อผสมกับ จิตวิทยาความกลัวตกรถ (FOMO) กลายเป็นเชื้อไฟสำคัญที่ทำให้ราคาพุ่งขึ้นอย่างไร้เหตุผล และเมื่อผู้คนจำนวนมากเริ่มขายพร้อมกัน ฟองสบู่ก็แตกและสร้างความสูญเสียในวงกว้าง

Meme coin และวัฒนธรรมปั่นราคา

หนึ่งในสัญลักษณ์ที่ชัดเจนที่สุดของ ฟองสบู่คริปโท คือการเกิดขึ้นของ Meme coin เหรียญที่แทบไม่มีคุณค่าทางเทคโนโลยีหรือการใช้งานจริง แต่กลับมีราคาพุ่งขึ้นอย่างมหาศาลเพียงเพราะความนิยมในโลกออนไลน์  เหรียญเหล่านี้สะท้อนให้เห็นการลงทุนคริปโท ถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์และความบันเทิงมากกว่าพื้นฐานจริง

กลไกของ Meme coin อาศัยการ ปั่นราคา (pump and dump) เป็นหลัก กลุ่มผู้ถือเหรียญรายใหญ่ หรืออินฟลูเอนเซอร์ สามารถสร้างกระแสด้วยการโพสต์หรือโปรโมตอย่างหนัก ทำให้รายย่อยหลั่งไหลเข้ามาซื้อจนราคาพุ่งสูง เมื่อราคาถึงจุดที่พอใจ กลุ่มผู้ถือรายใหญ่ก็เทขายพร้อมกัน ทำให้ราคาตกฮวบ (24 กุมภาพันธ์ 2025) [1]

สิ่งที่น่าสนใจคือ Meme coin ไม่ได้ถูกมองแค่ในฐานะเครื่องมือการเก็งกำไร แต่กลายเป็น วัฒนธรรมออนไลน์ ที่คนรุ่นใหม่เข้าร่วมเพื่อความสนุก การมีส่วนร่วม และการเป็น “ชุมชน” นักลงทุนหลายคนไม่ได้ซื้อเพราะหวังผลตอบแทนระยะยาว ปรากฏการณ์นี้ยิ่งผลักดันให้ฟองสบู่คริปโทเติบโตจนยากจะควบคุม

นักลงทุนรายย่อย กับพฤติกรรม ตามกระแส

เศรษฐกิจฟองสบู่คริปโท

หนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้ ฟองสบู่คริปโท ขยายตัวอย่างรวดเร็ว คือพฤติกรรมของนักลงทุนรายย่อยที่มักจะ “ตามกระแส” มากกว่าการวิเคราะห์เชิงลึก เมื่อเห็นเพื่อนหรือคนดังในโซเชียลมีเดียพูดถึงเหรียญใหม่ นักลงทุนรายย่อยก็มักจะรีบเข้าซื้อเพื่อไม่ให้พลาดโอกาส ทั้งที่แทบไม่ได้ทำความเข้าใจความเสี่ยงเบื้องหลังเลย

ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเฉพาะในช่วงตลาดกระทิงที่ราคาคริปโทพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง เศรษฐกิจฟองสบู่คริปโท ความโลภและความกลัวตกรถ (FOMO) ทำให้นักลงทุนรายย่อยพร้อมเสี่ยงมากขึ้น บางคนถึงขั้นกู้ยืมหรือใช้เงินเก็บทั้งชีวิตมาลงทุนในเหรียญที่ไม่มีพื้นฐาน ส่งผลให้เมื่อฟองสบู่แตก

ยิ่งไปกว่านั้น นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากยังขาดกลยุทธ์บริหารความเสี่ยง เช่น การกระจายการลงทุนหรือการตั้งจุดตัดขาดทุน (stop loss) ทำให้เมื่อราคาตก พวกเขามักจะ “ติดดอย” และไม่สามารถออกจากตลาดได้ทันเวลา ทำให้ฟองสบู่แตกกระจายไปพร้อมกับความเสียหายทางการเงินในวงกว้าง (27 สิงหาคม 2025) [2]

ผลกระทบ เศรษฐกิจฟองสบู่คริปโท ต่อ เศรษฐกิจจริง

แม้หลายคนจะมองว่า ฟองสบู่คริปโท เป็นเพียงเรื่องของการลงทุนเสี่ยง แต่ในความเป็นจริงมันสามารถส่ง ผลกระทบต่อเศรษฐกิจริง ได้อย่างรุนแรง เงินจำนวนมหาศาลที่ถูกดูดเข้าไปในตลาดคริปโท มักมาจากเงินเก็บของครัวเรือน หรือเงินทุนที่อาจถูกใช้ในการลงทุนเชิงสร้างสรรค์ เมื่อฟองสบู่แตก เงินเหล่านี้หายวับไปทันที

ผลกระทบยังขยายไปสู่ สถาบันการเงินและธุรกิจ ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับคริปโทโดยตรง หลายบริษัทที่ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลไว้ในงบดุล หรือปล่อยสินเชื่อที่ผูกกับคริปโท อาจเผชิญภาวะขาดทุนจนกระทบต่อหนี้สินและความมั่นคงทางธุรกิจ เหตุการณ์ล้มละลายของแพลตฟอร์มใหญ่ในอดีต

ในระยะยาว การสูญเสียความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและสถาบัน อาจทำให้การยอมรับเทคโนโลยีบล็อกเชนที่มีประโยชน์จริง เพราะถูกเหมารวมว่าเป็น “ของเสี่ยง” เช่นเดียวกับเหรียญเก็งกำไร นี่จึงเป็นผลกระทบเชิงวัฒนธรรมและเทคโนโลยี ที่อาจขัดขวางนวัตกรรมในอนาคต (14 มีนาคม 2025) [3]

ความเสี่ยงเชิง ระบบการเงิน

การเติบโตของ ฟองสบู่คริปโท ไม่ได้เป็นเพียงความเสี่ยงของนักลงทุนรายบุคคล แต่เริ่มขยายตัวจนกลายเป็น ความเสี่ยงเชิงระบบการเงิน (systemic risk) เพราะหลายสถาบันการเงิน สินเชื่อ และกองทุนเริ่มเข้ามามีบทบาทในตลาดคริปโท เมื่อมูลค่าของเหรียญพุ่งขึ้นจนดูน่าดึงดูด พวกเขาก็ใช้คริปโทเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน

ความเสี่ยงนี้ยิ่งทวีความรุนแรงเพราะธรรมชาติของตลาดคริปโทที่ ผันผวนสูงและเชื่อมโยงกันทั่วโลก การร่วงลงของเหรียญใหญ่ เช่น Bitcoin หรือ Ethereum อาจสร้างแรงกระเพื่อมที่ทำให้แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนหรือกองทุนคริปโทล้มครืน จนกลายเป็นวิกฤตคล้ายๆ กับ “โดมิโนเอฟเฟกต์”

ที่สำคัญ การพึ่งพา Stablecoin ในธุรกรรมต่างๆ ก็ถือเป็นจุดเสี่ยงเชิงระบบ หากเหรียญที่ผูกกับค่าเงินดอลลาร์อย่าง USDT หรือ USDC สูญเสียความน่าเชื่อถือเพียงเล็กน้อย อาจทำให้ตลาดคริปโททั้งหมดปั่นป่วน และกระจายผลกระทบไปยังเศรษฐกิจจริงผ่านสถาบันที่ถือสินทรัพย์เหล่านี้อยู่ (กันยายน 2025) [4]

การเก็งกำไรคริปโท พุ่งสูงต่อเนื่อง

ชี้ว่าปริมาณซื้อขายคริปโทจากนักลงทุนรายย่อยยังขยายตัว แม้ราคาหลักทรัพย์ดิจิทัลผันผวนแรง ดัชนีวัดความร้อนแรงของ “เหรียญกระแส” และ Meme coin ทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 18 เดือน สะท้อนวัฒนธรรมล่ากำไรสั้นที่ยังครองตลาด และแรงหนุนจากชุมชนออนไลน์ที่เติบโตแบบไวรัลเกินกว่าจะควบคุมได้ในระยะสั้น

รายงานสถิติจากหลายกระดานเทรดยังพบว่า สัดส่วนคำสั่งซื้อขายแบบอัตโนมัติสำหรับเหรียญความนิยมสูงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ช่วงเวลาเกิด spike และ flash dump ถี่ขึ้นในกรอบเวลาไม่กี่นาที แปลว่าความเสี่ยงด้านสภาพคล่องระยะสั้นกำลังขยายตัว (26 กันยายน 2025) [5]

ฝั่งหน่วยงานกำกับ หลายประเทศส่งสัญญาณเข้มงวดกับการโปรโมตเหรียญเก็งกำไร และการปั่นราคาเชิงโซเชียล พร้อมเร่งพิจารณากติกาเปิดเผยความเสี่ยงต่อผู้ลงทุนรายย่อยมากขึ้น อย่างไรก็ดี ช่องว่างข้ามพรมแดนและความเร็วของตลาดดิจิทัลยังเป็นข้อจำกัดสำคัญ ทำให้แรงเก็งกำไรมีแนวโน้มคงระดับสูง

สรุป เศรษฐกิจฟองสบู่คริปโท ความเสี่ยงในวัฒนธรรมการเก็งกำไร

เศรษฐกิจฟองสบู่คริปโท ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องการลงทุนที่ผันผวน แต่สะท้อนถึง วัฒนธรรมการเงินแบบใหม่ ที่ผูกพันกับกระแสโซเชียลและความต้องการรวยเร็ว เมื่อการเก็งกำไรกลายเป็นวัฒนธรรม “ความเสี่ยงที่สะสมอยู่เบื้องหลังก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และอาจระเบิดออกมาเป็นวิกฤตการเงินที่กระทบผู้คนทั่วโลก”

แนวทาง กำกับดูแล เศรษฐกิจฟองสบู่คริปโท

รัฐบาลและหน่วยงานกำกับต้องก้าวให้ทันกับตลาดดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมการโปรโมตเหรียญเก็งกำไร การกำหนดมาตรฐานความโปร่งใสของแพลตฟอร์มเทรด และการสร้างกลไกตรวจสอบที่เชื่อมโยงข้ามพรมแดน เพื่อลดโอกาสเกิดการปั่นราคาและลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจจริง

สร้างความรู้ การลงทุนให้สังคม

สิ่งสำคัญไม่แพ้กฎหมายคือการสร้างความรู้ด้านการเงินและการลงทุนให้กับผู้คน โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อย หากสังคมเข้าใจความเสี่ยงและรู้จักการบริหารจัดการเงินลงทุน ฟองสบู่คริปโทอาจยังเกิดขึ้นได้ แต่ผลกระทบจะรุนแรงน้อยลง และเปิดทางให้เทคโนโลยีบล็อกเชนได้เติบโตบนฐานที่แข็งแรงกว่าเดิม

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง

  • Comment (2)
  • ผมมองว่าถึงจะเป็นเงินคริปโต แต่สุดท้ายมันก็สามารถที่จะไปถึงจุดเฟ้อได่อยู่ดี จนถึงขั้นฟองสบู่แตก แต่แค่อาจจะใช้เวลานานกว่าสกุลเงินตามประเทศทั่วๆไปเท่านั้นเอง

  • ถึงเงินในระบบจะมีมากมายไม่รู้สิ้นสุด แต่สุดท้ายก็มีโอกาสที่จะเกิดเงินเฟ้อได้ แม้จะเป็นเงินดิจิตอลก็ตามที

แสดงความคิดเห็น