สินเชื่อรายวันผ่านโซเชียล ความเร็วที่แลกด้วยความเสี่ยง

สินเชื่อรายวันผ่านโซเชียล

ยุคที่โซเชียลมีเดียครองชีวิตประจำวัน ได้กลายเป็นช่องทางใหม่ของการปล่อยกู้เงินด่วนในรูปแบบ สินเชื่อรายวันผ่านโซเชียล แพลตฟอร์มอย่าง FB, LINE และ TikTok ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่สื่อสาร แต่กลับถูกใช้เป็น “ตลาดกู้เงิน” ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว จุดขายอยู่ที่ความง่ายและความเร็ว รับเงินง่ายแต่ดอกสูง

ความสะดวกนี้ดูเหมือนจะตอบโจทย์คนที่ต้องการเงินฉุกเฉิน แต่เบื้องหลังเต็มไปด้วยความเสี่ยงสูง ดอกเบี้ยเกินกฎหมาย การคิดเงินรายวัน และวิธีทวงหนี้ที่รุนแรง มักเป็นมาตรฐานของเจ้าหนี้ในโลกโซเชียล ที่สำคัญ การทำธุรกรรมส่วนใหญ่ไม่มีหลักฐานชัดเจน ทำให้ผู้กู้เสียเปรียบและยากต่อการพิสูจน์หากเกิดปัญหา

นอกจากผลกระทบต่อผู้กู้รายบุคคล การเติบโตของสินเชื่อรายวันผ่านโซเชียลยังสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจโดยรวม เงินหมุนจำนวนมากไหลอยู่นอกระบบธนาคารและไม่อยู่ในสายตาหน่วยงานกำกับดูแล ส่งผลให้การวิเคราะห์ข้อมูลทางเศรษฐกิจบิดเบือน และทำให้การจัดเก็บภาษีหรือนโยบายการเงินของรัฐทำได้ยากขึ้น

ทำไม สินเชื่อรายวันผ่านโซเชียล ถึงเติบโตอย่างรวดเร็ว

จุดแข็งของสินเชื่อรายวัน คือความรวดเร็วและความยืดหยุ่น ผู้กู้เพียงส่งข้อความหรือแชทกับผู้ปล่อยกู้ก็สามารถได้รับเงินภายในไม่กี่ชั่วโมง ไม่จำเป็นต้องมีประวัติการเงิน เอกสาร หรือหลักทรัพย์ค้ำประกัน ความง่ายนี้ตอบโจทย์คนที่ต้องการเงินด่วน หรือมีเหตุฉุกเฉินที่ไม่สามารถรอการอนุมัติจากธนาคารได้

อีกปัจจัยสำคัญคือการเข้าถึงที่กว้างขวางของแพลตฟอร์มโซเชียล เจ้าหนี้สามารถโฆษณาและคัดกรองลูกหนี้ได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผู้กู้ก็สามารถเจรจาต่อรองเงื่อนไขได้ทันที ระบบรีวิวหรือแชทส่วนตัวในแพลตฟอร์มเหล่านี้ยิ่งช่วยเพิ่มความรู้สึก ไว้ใจได้ แม้จะไม่มีเอกสารรับรองใดๆ (10 กรกฎาคม 2025) [1]

นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจตึงตัว ค่าครองชีพสูง และความไม่แน่นอนของงาน ทำให้ผู้คนจำนวนมากมองหาช่องทางกู้เงินที่ไม่ยุ่งยาก เมื่อเงินเดือนหรือรายได้ไม่เพียงพอ สินเชื่อรายวันผ่านโซเชียลจึงกลายเป็น ทางลัด ที่ดูเหมือนจะช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ แม้ต้องแลกด้วยดอกเบี้ยสูงและความเสี่ยงทางกฎหมายในระยะยาว

ดอกเบี้ยรายวัน กำไรสูงที่เป็นกับดัก

หัวใจของสินเชื่อรายวันผ่านโซเชียลคืออัตราดอกเบี้ยที่สูงผิดกฎหมาย เจ้าหนี้จำนวนมากคิดดอกเบี้ยรายวันตั้งแต่ 10% ถึง 20% ซึ่งสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดหลายเท่า เมื่อผู้กู้ไม่สามารถชำระตรงเวลา ดอกเบี้ยจะถูกทบต้นอย่างรวดเร็ว จนหนี้ก้อนเล็กกลายเป็นก้อนใหญ่ในเวลาไม่กี่สัปดาห์ (19 กุมภาพันธ์ 2025) [2]

เจ้าหนี้บางรายยังใช้กลยุทธ์ซ่อนเงื่อนไข เช่น การคิดค่าปรับหากชำระช้าแม้เพียงไม่กี่ชั่วโมง หรือการบังคับให้โอนเงินมัดจำล่วงหน้า ซึ่งเพิ่มภาระให้กับผู้กู้โดยตรง วิธีเหล่านี้มักไม่ได้ระบุในข้อความโฆษณา และการเจรจาในแชทส่วนตัวทำให้แทบไม่มีหลักฐานทางกฎหมายที่จะใช้ปกป้องสิทธิของผู้กู้

เมื่อดอกเบี้ยทบต้นอย่างต่อเนื่อง ผู้กู้หลายคนต้องกู้จากเจ้าหนี้รายใหม่เพื่อปิดหนี้เก่า วงจรนี้ทำให้หนี้ไม่เคยลดลงแต่กลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นภาระที่กัดกินชีวิตประจำวันและส่งผลต่อสุขภาพจิต สุดท้ายจากเงินกู้ไม่กี่พันบาทอาจบานปลายเป็นหนี้หลักแสนในเวลาไม่กี่เดือน

การทวงหนี้บนโลกออนไลน์ กดดันไร้ขอบเขต

นอกจากดอกเบี้ยที่สูงแล้ว วิธีการทวงหนี้ของเจ้าหนี้โซเชียลก็เป็นปัญหาใหญ่ เจ้าหนี้จำนวนมากใช้วิธีการกดดันที่รุนแรง อย่างเช่น การโทรศัพท์หรือส่งข้อความข่มขู่ตลอดวัน การโพสต์ประจานในกลุ่มสาธารณะ หรือการส่งข้อความไปยังครอบครัวและเพื่อนของผู้กู้เพื่อสร้างแรงกดดัน

การทวงหนี้ลักษณะนี้สร้างผลกระทบทางจิตใจอย่างหนัก ผู้กู้หลายคนต้องเผชิญกับภาวะวิตกกังวลเรื้อรัง นอนไม่หลับ และรู้สึกเหมือนไม่มีทางออก บางกรณีถึงขั้นต้องย้ายบ้านหรือปิดบัญชีโซเชียลเพื่อหลบหนี ซึ่งไม่เพียงทำลายคุณภาพชีวิต แต่ยังส่งผลต่อหน้าที่การงานและความสัมพันธ์ส่วนตัว

การกดดันเช่นนี้ยังยากต่อการดำเนินคดี เพราะการทวงหนี้เกิดในแพลตฟอร์มส่วนตัว เช่น แชท ไลน์ หรือ เทเลแกรม ที่เก็บหลักฐานได้ยาก และเจ้าหนี้สามารถเปลี่ยนบัญชีหรือเบอร์โทรศัพท์ได้ตลอดเวลา ทำให้ผู้กู้แทบไม่มีโอกาสได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย

เศรษฐกิจสีเทา เมื่อเงินหมุนอยู่นอกระบบธนาคาร

สินเชื่อรายวันผ่านโซเชียล

การเติบโตของ สินเชื่อรายวันผ่านโซเชียล ทำให้เงินจำนวนมหาศาลหมุนเวียนอยู่นอกระบบธนาคาร ส่งผลโดยตรงต่อการคำนวณข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศ เพราะรายได้และการเคลื่อนไหวเหล่านี้ ไม่ถูกบันทึกในระบบภาษีหรือการเงินทางการ ความคลาดเคลื่อนนี้ทำให้การกำหนดนโยบายเศรษฐกิจ (29 มกราคม 2025) [3]

เงินกู้เถื่อนในโซเชียล ยังกลายเป็นแหล่งทุนสำคัญของธุรกิจสีเทา อาทิเช่น การพนันออนไลน์ การค้ายาเสพติด และการฟอกเงิน เจ้าหนี้จำนวนมากนำเงินที่ได้จากดอกเบี้ยสูงไปหมุนต่อในกิจกรรมผิดกฎหมายเพื่อเพิ่มผลกำไร วงจรนี้ทำให้เศรษฐกิจสีเทาแข็งแรงขึ้นและมีผลกระทบลึกซึ้งต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ

ผลกระทบนี้ยังลุกลามสู่สังคมในวงกว้าง เพราะเมื่อเงินจำนวนมากหมุนอยู่นอกสายตาภาครัฐ การกระจายทรัพยากรสาธารณะ ตัวอย่างเช่น งบประมาณด้านการศึกษา สาธารณสุข และสวัสดิการ อาจไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจจริง สุดท้ายสังคมต้องรับภาระจากหนี้สินและปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เส้นบางๆระหว่าง สินเชื่อและแชร์ลูกโซ่

ความคล้ายคลึงกันระหว่างสินเชื่อรายวันผ่านโซเชียลและ แชร์ลูกโซ่ ทำให้ผู้กู้เสี่ยงสูงโดยไม่รู้ตัว เจ้าหนี้บางรายใช้โครงสร้างลักษณะปิรามิด คือการใช้เงินของผู้กู้ใหม่มาจ่ายผู้กู้เก่า เพื่อสร้างภาพลวงตาว่าธุรกิจมีความมั่นคงและหมุนเงินได้จริง วิธีนี้ช่วยดึงดูดผู้กู้ใหม่อย่างต่อเนื่องแม้ไม่มีรายได้จริงรองรับ

ในบางกรณี เจ้าหนี้โซเชียลใช้วิธีเสนอผลตอบแทนเกินจริง อย่าง ดอกเบี้ยต่ำสำหรับการกู้ครั้งแรก หรือโบนัสสำหรับการชวนเพื่อนมากู้เพิ่ม ซึ่งเป็นกลยุทธ์เดียวกับที่ใช้ในแชร์ลูกโซ่ เมื่อวงจรเติบโตถึงจุดหนึ่งที่ไม่มีผู้กู้ใหม่เข้ามา ธุรกิจจะล่มลงอย่างรวดเร็ว ทิ้งหนี้ก้อนใหญ่ให้ผู้กู้รับผิดชอบเพียงลำพัง

ความซับซ้อนของกลไกนี้ทำให้ผู้กู้จำนวนมากไม่รู้ว่าตนเองกำลังตกอยู่ในวงจรแชร์ลูกโซ่ที่ใช้แพลตฟอร์มโซเชียลเป็นฉากบังหน้า การขาดการกำกับดูแลและกฎหมายที่ทันต่อสถานการณ์ยิ่งทำให้เจ้าหนี้เถื่อนสามารถดำเนินการได้โดยยากต่อการตรวจสอบและลงโทษ (6 พฤษภาคม 2025) [4]

รายงานล่าสุด สินเชื่อผ่านโซเชียลโตเกิน 50% ในปีเดียว

ข้อมูลจากหน่วยงานกำกับดูแลการเงินในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เผยว่า ตลาดสินเชื่อรายวันผ่านโซเชียลเติบโตเกิน 50% ในช่วงปีที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าหมุนเวียนหลายหมื่นล้านบาท จุดเด่นของตลาดนี้คือความเร็วในการอนุมัติและการไม่ต้องใช้เอกสาร ซึ่งตอบโจทย์แรงงานนอกระบบและคนวัยทำงานที่มีรายได้ไม่แน่นอน

รายงานระบุว่าเจ้าหนี้โซเชียลมีการพัฒนากลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ ตัวอย่างเช่น การใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลหลายชั้นและการสร้างบัญชีผู้ใช้ชั่วคราวที่เปลี่ยนได้ตลอดเวลา การติดตามเส้นทางเงินจึงเป็นความท้าทายใหญ่สำหรับภาครัฐ แม้จะเริ่มมีมาตรการร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อสกัดกั้น

การเติบโตที่รวดเร็วนี้สะท้อนถึงปัญหาการเข้าถึงสินเชื่ออย่างถูกกฎหมายและความต้องการเงินด่วนที่เพิ่มขึ้น การแก้ไขจึงต้องใช้ทั้งมาตรการควบคุมด้านเทคโนโลยีและการให้ความรู้ทางการเงิน เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนตกเป็นเหยื่อของวงจรสินเชื่อรายวันผ่านโซเชียลที่เสี่ยงสูง

สรุป สินเชื่อรายวันผ่านโซเชียล ปิดวงจรสินเชื่อก่อนสาย

การเติบโตของ สินเชื่อรายวันผ่านโซเชียล คือสัญญาณเตือนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบการเงิน เมื่อผู้คนจำนวนมากต้องพึ่งเงินกู้นอกระบบเพราะไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อที่ถูกกฎหมายได้

“วงจรนี้จึงกลายเป็นช่องทางให้เจ้าหนี้เถื่อนคิดดอกเบี้ยเกินจริง ใช้การทวงหนี้รุนแรง และฟอกเงินผ่านเศรษฐกิจสีเทา” การแก้ไขจำเป็นต้องทำทั้งการปรับปรุงกฎหมาย การเสริมความรู้ทางการเงิน และการสร้างแหล่งสินเชื่อทางเลือกที่เข้าถึงง่ายและเป็นธรรม

เพิ่มแหล่งสินเชื่อปลอดภัย ในระบบที่ถูกที่ควร

รัฐบาลและสถาบันการเงินควรร่วมมือกันสร้างผลิตภัณฑ์สินเชื่อฉุกเฉิน ที่มีดอกเบี้ยเป็นธรรมและอนุมัติได้รวดเร็ว เพื่อลดความจำเป็นของประชาชนในการหันไปใช้สินเชื่อโซเชียลที่เสี่ยง

การสนับสนุนสหกรณ์ออมทรัพย์ และแพลตฟอร์มกู้เงินที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล จะช่วยให้เงินหมุนกลับเข้าสู่ระบบที่โปร่งใสและตรวจสอบได้

เสริมภูมิคุ้มกันการเงิน และเข้มกฎหมาย

ควบคู่ไปกับการปรับปรุงกฎหมาย ควรเร่งเสริมการศึกษาการเงินให้ครอบคลุมทุกกลุ่มอายุ เพื่อให้ประชาชนรู้จักประเมินความเสี่ยงและวางแผนการใช้เงินอย่างมีสติ

พร้อมกันนั้น ต้องเร่งปรับมาตรการติดตามธุรกรรมดิจิทัลและลงโทษผู้ปล่อยกู้เถื่อนอย่างจริงจัง เพื่อตัดวงจรสินเชื่อรายวันผ่านโซเชียลก่อนจะกลายเป็นปัญหาเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่านี้

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง

  • Comment (4)
  • ความโหดร้ายของโซเชียล มันมีภัยอันตรายรอบตัวของผู้ใช้ พลาดเพียงนิดเดียวรับรองว่าเสียเงินหนักมากๆ ขอให้ทุกท่านระวังให้ดี

  • ถ้าร้อนเงินจริงๆ แนะนำว่าคนใกล้ตัวกับธนาคารเป็นสิ่งที่ดีกว่า แต่ดีที่สุดก็ไม่ควรรบกวนผู้อื่นถ้าไม่จำเป็นจริงๆ

  • สินเชื่อผิดกฏหมายน่ากลัวมาก มันตามทุกคนในมือถือของคุณ ถ้าไม่อยากเสียใจ อย่าเอาชีวิตไปเสี่ยงเลย

แสดงความคิดเห็น