
สมองกับความเสี่ยง ทำไมเราถึงยังเลือกเสี่ยง แม้จะรู้ว่าผลลัพธ์อาจทำให้เสียเงิน? ทำไมในใจลึกๆ เรายังคงรู้สึกตื่นเต้นเมื่อมีโอกาสวางเดิมพัน ทั้งที่รู้ว่าสุดท้ายมักจะลงเอยด้วยการขาดทุน? คำตอบไม่ได้อยู่แค่ในจิตใจ แต่อยู่ในระบบสมองและเคมีในร่างกายของเราด้วย
การตัดสินใจเสี่ยงมีรากฐานจากกลไกทางสมองที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีอย่างโดพามีน (Dopamine) และระบบรางวัล (Reward System) ซึ่งเป็นส่วนที่คอยกระตุ้นให้มนุษย์แสวงหาความสุขและผลตอบแทน แม้จะต้องแลกมากับความเสี่ยงก็ตาม
การทำความเข้าใจกลไกเหล่านี้ จะช่วยให้เราเข้าใจว่าทำไมการพนันถึงเป็นสิ่งที่ตรึงสมองของเราไว้ได้อย่างแนบเนียน บทความนี้จะพาไปรู้จักกับระบบสมองที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยง ความตื่นเต้น และทำไมสิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็นกับดักที่ดึงดูดเราให้เดินเข้าสู่การพนันโดยไม่รู้ตัว
สมองของเรามีระบบรางวัล (Reward System) ซึ่งทำหน้าที่ กระตุ้น ให้เราทำในสิ่งที่ให้ผลตอบแทนหรือความสุข ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหาร การมีความสัมพันธ์ หรือการประสบความสำเร็จ สิ่งเหล่านี้ทำให้สมองหลั่งสารโดพามีนออกมา ทำให้เรารู้สึกดี และอยากทำซ้ำอีก (14 มกราคม 2025) [1]
แต่ระบบรางวัลนี้ไม่ได้แยกแยะว่ากิจกรรมที่กระตุ้นจะเป็นสิ่งดีหรือเลว การพนันจึงกลายเป็นหนึ่งในสิ่งกระตุ้นที่ทำให้สมองหลั่งสารโดพามีน เพราะทุกครั้งที่เรารู้สึกว่าใกล้จะชนะ หรือเกือบได้ สมองจะตอบสนองทันที ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นและอยากเสี่ยงอีกครั้ง แม้รู้ว่ามีโอกาสเสีย
ผลที่ตามมาคือ เราจะยิ่งตกอยู่ในวงจรของการไล่ล่าความรู้สึกนั้น เพราะสมองจะจดจำว่าความเสี่ยงเท่ากับความตื่นเต้น และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เราหลงไปกับการพนันจนยากจะถอนตัว
สิ่งที่กระตุ้นโดพามีนได้ดีที่สุด ไม่ใช่ความสำเร็จที่แน่นอน แต่เป็นความไม่แน่นอน หรือความคาดเดาไม่ได้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมการพนันจึงมีอิทธิพลต่อสมองอย่างมหาศาล เพราะมันผสมผสานระหว่างความหวัง ความกลัว และความไม่แน่นอนเข้าด้วยกัน
เมื่อเราไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร สมองจะหลั่งโดพามีนมากกว่าปกติ เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ สิ่งนี้ทำให้ความเสี่ยงกลายเป็นสิ่งเร้าที่น่าดึงดูด และทำให้เราอยากเสี่ยงซ้ำ แม้รู้ว่ามีโอกาสแพ้
ผลกระทบระยะยาวคือ เราจะเริ่มเสพติดความรู้สึกนี้ และทำให้การพนันกลายเป็นกิจกรรมที่เราหลอกตัวเองว่าทำไปเพื่อความสนุก ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นเพราะสมองของเราถูกกระตุ้นให้หลงใหลในความไม่แน่นอนเหล่านั้น
ระบบรางวัลของสมองไม่ได้แค่ตอบสนองต่อสิ่งที่ดีเท่านั้น แต่ยังสามารถเชื่อมโยงกับพฤติกรรมที่เสี่ยงหรือเป็นอันตรายได้ หากสิ่งนั้นทำให้เรารู้สึกดีในช่วงเวลาสั้นๆ นี่คือเหตุผลว่าทำไมการพนันจึงกลายเป็นพฤติกรรมเสี่ยงที่น่าติดใจ
ทุกครั้งที่เราเล่นพนันและรู้สึกว่าเกือบได้ สมองจะบันทึกความรู้สึกนั้นเป็นความทรงจำเชิงบวก แม้ว่าผลลัพธ์จริงๆ จะเป็นการเสียเงินก็ตาม เมื่อเราเสี่ยงซ้ำ สมองจะหลั่งโดพามีนซ้ำๆ และทำให้เราติดกับความรู้สึกนั้นโดยไม่รู้ตัว [2]
นั่นทำให้เราไม่สามารถเลิกเล่นได้ง่ายๆ เพราะแม้จะเสีย แต่สมองยังจดจำความรู้สึกดีจากการเสี่ยงไว้ สมองกับความเสี่ยง นี่คือกับดักทางพฤติกรรมที่ทำให้คนจำนวนมากติดอยู่ในวงจรการพนัน
โดพามีนเป็นสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับความสุข การกระตุ้น และการสร้างแรงจูงใจ ซึ่งทำงานร่วมกับระบบรางวัลของสมอง การพนันเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่กระตุ้นให้โดพามีนหลั่งอย่างรวดเร็วและรุนแรง จนทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นและมีความสุขชั่วขณะ
แต่ความร้ายกาจของโดพามีนคือ มันไม่ได้กระตุ้นเฉพาะเวลาชนะเท่านั้น แม้แต่ตอนที่เราคิดว่าใกล้จะชนะ หรือกำลังจะชนะ โดพามีนก็จะหลั่งออกมา ทำให้เราอยากเสี่ยงต่อไป แม้จะรู้ว่ามีโอกาสเสียก็ตาม นี่คือเหตุผลที่คนจำนวนมากรู้สึกว่าขออีกแค่ครั้งเดียว อยู่เสมอ
ผลลัพธ์คือ เราจะค่อยๆ ติดอยู่กับพฤติกรรมเสี่ยงนี้ เพราะสมองถูกกระตุ้นให้คิดว่าการเสี่ยงคือสิ่งที่ดี โดยลืมไปว่าผลลัพธ์ระยะยาวคือความเสียหายทางการเงินและจิตใจ [3]
เมื่อเราทำสิ่งใดซ้ำๆ ที่ทำให้สมองหลั่งโดพามีน วงจรการเสพติด จะเริ่มต้นขึ้น การพนันเป็นหนึ่งในพฤติกรรมที่กระตุ้นวงจรนี้ได้อย่างรวดเร็ว เพราะทุกครั้งที่เรารู้สึกว่ามีโอกาสจะชนะ สมองจะตอบสนองทันที
การหลั่งโดพามีนซ้ำๆ จะทำให้สมองต้องการความรู้สึกนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และต้องการความตื่นเต้นที่มากขึ้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราถึงเริ่มเสี่ยงมากขึ้น วางเงินเดิมพันมากขึ้น และรู้สึกว่าการเดิมพันแบบเดิมไม่น่าตื่นเต้นอีกต่อไป
วงจรนี้จะทำให้เราไม่สามารถหยุดได้ง่ายๆ เพราะสมองจะกระตุ้นให้เราหาโดพามีนช็อตอยู่เสมอ และผลลัพธ์ก็คือการติดพนันที่ลึกขึ้นทุกที [4]
โดพามีนไม่ได้แค่ทำให้เรารู้สึกดี แต่ยังมีผลต่อกระบวนการตัดสินใจ ทำให้เราประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าความเป็นจริง และทำให้เรามั่นใจในตัวเองเกินเหตุ เพราะสมองถูกกระตุ้นให้มองแค่ความเป็นไปได้ที่จะชนะ โดยมองข้ามความเป็นไปได้ที่จะเสีย
ผลกระทบนี้ทำให้เราตัดสินใจผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่น เพิ่มเงินเดิมพัน หรือลองเสี่ยงอีกครั้ง แม้จะรู้ว่ามีโอกาสเสียมากกว่าชนะ นี่คือวงจรอันตรายที่ทำให้คนติดการพนันโดยไม่รู้ตัว
สุดท้ายแล้ว สมองของเราจะถูกโปรแกรมให้ตัดสินใจแบบเดิมซ้ำๆ เพราะโดพามีนทำงานเป็นเหมือนแรงกระตุ้นให้เราคิดว่าสิ่งที่เสี่ยงคือสิ่งที่น่าทำ ทั้งที่ความจริงแล้ว เรากำลังเดินเข้าสู่วงจรการติดพนันที่ยากจะถอนตัว [4]
งานวิจัยล่าสุดในปี 2025 จากศูนย์วิจัยสมองและพฤติกรรม มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน พบว่า ระบบรางวัลในสมองมนุษย์มีการตอบสนองที่ไวต่อความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นเมื่อเราเผชิญกับเกมเสี่ยงโชค โดยพบว่าโดพามีนจะหลั่งมากกว่าปกติถึง 2 เท่า เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ แม้ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นการแพ้ก็ตาม
อีกทั้งในรายงานเดียวกันยังระบุว่า พฤติกรรมการพนันในกลุ่มวัยทำงานที่มีความเครียดสูงจะมีความเสี่ยงต่อการตอบสนองของสมองในส่วนการตัดสินใจผิดพลาดเพิ่มขึ้นถึง 30% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่มีความเครียดต่ำ ส่งผลให้การตัดสินใจวางเดิมพันเกิดขึ้นบ่อยและยากต่อการควบคุม (16 มิถุนายน 2025) [5]
ข้อมูลเหล่านี้ตอกย้ำว่า สมองกับความเสี่ยง การเข้าใจสมองและกลไกเคมีภายในร่างกายเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันไม่ได้แค่มีผลต่อความรู้สึกชั่วคราว แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราเสี่ยงซ้ำๆ จนกลายเป็นนิสัยโดยไม่รู้ตัว
การพนันไม่ใช่แค่เรื่องของพฤติกรรม แต่เป็นเรื่องของสมองและสารเคมีที่ควบคุมความคิดและการตัดสินใจของเรา การรู้ว่าระบบรางวัลและโดพามีนทำงานอย่างไร จะช่วยให้เราเข้าใจว่าทำไมเราถึงเสี่ยง แม้จะรู้ว่ามีโอกาสเสีย
เมื่อเราเข้าใจว่าความตื่นเต้นและความไม่แน่นอนเป็นสิ่งที่ทำให้สมองอยากเสี่ยง เราจะเริ่มตระหนักว่า เรากำลังถูกกระตุ้นให้เล่นต่อไปโดยไม่รู้ตัว การรู้เท่าทันจิตใจและระบบสมองของตัวเอง คือก้าวแรกในการหลุดพ้นจากกับดักนี้
สุดท้าย “การเข้าใจสมองของเราเอง จะทำให้เราสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น” และไม่ตกเป็นเหยื่อของวงจรการเสี่ยงและการติดพนันอีกต่อไป
เจ็บแล้วจำคือคน เจ็บแล้วซ้ำคือผีพนัน เล่นแล้วเจ็บซ้ำ แต่ก็ไม่ยอมเลิกเล่น
หัวใจกับสมอง หลายๆครั้งมันก็ไม่ไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งสุดท้ายก็ต้องเลือกทางที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง
บางทีคนเรามันมีความซาดิสในตัว รู้ว่าเจ็บ รู้ว่าเสีย แต่ก็ชอบที่จะมันซ้ำๆ การพนันก็เช่นกัน
การเล่นพนันแล้วถูกรางวัล มันจะพาให้สมองเราเชื่อว่าเล่นไปเดี๋ยวก็ได้คืน แต่กว่าจะรู้ตัวหมดไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้